
สินเชื่อลิสซิ่ง รถบรรทุก Leasing สินเชื่อเช่าใช้ คืออะไร หลายคนคงสับสน กับ สินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุก Hire Purchase ว่าต่างกันยังไง อะไรดีกว่ากัน และประโยชน์ของสินเชื่อแต่ละแบบ คืออะไร เราควรเลือกสินเชื่อแบบไหน อ่านบทความนี้แล้วคุณจะร้อง อ๋ออออ ยาวๆไปเลย
ความหมาย Leasing ภาษาไทยเรียกว่า สินเชื่อเช่าใช้ ซึ่งไม่ค่อยนิยมเรียกเท่าไหร่มักนิยมเรียกจัดลิสซิ่งมากกว่า ซึ่งบางครั้ง ยังสับสน ระหว่างคำว่า จัดไฟแนนซ์ อีกด้วย ซึ่งในที่นี้เราจะจะไม่พูดถึงเรื่องการจัดไฟแนนซ์ ไว้ดูกันอีกบทความนึง
สินเชื่อลิสซิ่ง รถบรรทุก Leasing คืออะไร
สินเชื่ลิสซิ่ง Leasing คือ การเช่าใช้ สินค้า รถยนต์ เครื่องจักร หรือทรัพย์สินอื่นๆ โดยเฉพาะทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง กรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์นั้นยังเป็นของผู้ให้เช่า โดยต้องต้องทำเป็นสัญญาเช่า และชำระเงินค่าประกัน (ได้คืน) และชำระเช่าเป็นงวดๆ ตามจำนวนเงินที่ตกลง และมีระยะเวลาเช่า ตามที่กำหนดในสัญญาเช่านั้น เมื่อครบระยะเวลาเช่าตามสัญญาเช่าผู้เช่าต้องส่งคืนทรพย์สินนั้น ผู้เช่าสามารถทำสัญญา เช่าต่อ หรือ ขอซื้อต่อทรัพย์สินนั้น ตามมูลค่าคงเหลือที่ตกลงกันได้ โดยปกติมักส่งคืนและทำสัญญาใหม่กับทรัพย์สินใหม่ จะได้ประโยชน์มากกว่า
สินเชื่อเช่าซื้อ คืออะไร Hire Purchase
การเช่าซื้อ หรือ Hire Purchase คือ การซื้อของหรือทัพย์สิน ที่ผ่อนชำระเป็นงวดๆ บ้างครั้งต้องใช้เงินดาวน์เริ่มต้นจ่ายชำระค่าสินค้าก่อน โดยกรรมสิทธิ์ของสินทรัพย์นั้น นั้นจะยังเป็นของผู้ขายตลอดระยะเวลาผ่อนสินค้าหรือทัพย์สินนั้น เมื่อ ผู้เช่าซื้อผ่อนจ่ายค่าสินค้าครบหมด ผู้ขายจะต้องโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์นั้นให้ผู้เช่าซื้อ แต่ในระหว่างที่ผ่อนนั้น ผู้เช่าซื้อจะเป็นผู้ครอบครองใช้ทรัพย์สินนั้นได้ เหมือนกับเป็นเจ้าของ
เช่าใช้ Leasing กับเช่าซื้อ Hire Purchase ต่างกกันอย่างไร
- ลูกค้า Leasing เป็นบริษัทเท่านั้น
- เงินดาวน์ ลิสซิ่งไม่มีเงินดาวน์เรียกเงินประกันแทนจ่ายครั้งแรกน้อยกว่า เช่าซื้อต้องมีเงินดาวน์ตามตกลง
- การหักค่าใช้จ่ายทางบัญชี รายละเอียดในตารางด้านล่าง
- วิธีคิดดอกเบี้ยแตกต่างกัน รายละเอียดในตารางด้านล่าง
- กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน เมื่อสิ้นสุดสัญญา ลิสซิ่ง Leasing ผู้เช่าใช้จะเลือกว่าจะซื้อใช้ต่อหรือไม่ก็ได้โดยหักค่าประกัน ออกจากมูลค่าที่เหลือแล้วจ่ายเพิ่มเอา แต่ การเช่าซื้อ Hire Purchase เมื่อผู้เช่าส่งงวดครบตามสัญญาก็จะได้รับโอนกรรมสิทธิ์เป้นเจ้าของทรัพย์นั้นทันที
ตารางเปรียบเทียบ สินเชื่อลิสซิ่ง Leasing กับ เช่าซื้อรถบรรทุก Hire Purchase
| รายละเอียด | ลิสซิ่ง Leasing | เช่าซื้อ Hire Purchase |
|---|---|---|
| 1. ลูกค้า | นิติบุคคล | บุคคล หรือ นิติบุคคล |
| 2. เงินชำระต้นสัญญา | เงินวางประกัน | เงินดาวน์ |
| 3. ระยะเวลาการผ่อนชำระ ต่ำสุด | ต่ำสุด 36 เดือน | ต่ำสุด 24 เดือน |
| 4. การคิดคำนวณ ค่าเช่า/ค่างวด | แบบ Effective Rate (ลดต้นลดดอก) ใช้สูตร ATV ในการคำนวณ | แบบ Flat Rate |
| 5. การค้ำประกัน | มีบุคคลค้ำประกัน | มีบุคคลค้ำประกัน |
| 6. การทำประกันภัย | ชั้น 1 ตลอดอายุสัญญา | ตลอดอายุสัญญา |
| 7. แบบฟอร์ม เอกสารสัญญา | สัญญาเช่า | สัญญาเช่าซื้อ |
| 8. ผลประโยชน์ในทางบัญชี (ลูกค้า) | หักได้เต็มจำนวณ แต่ไม่เกิน 36,000 บาท/คัน | หักค่าเสื่อมราคา ได้สูงสุด 1 ล้าน |
| 9. กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน เมื่อสิ้นสุดสัญญา | เป็นของบริษัทฯไฟแนนซ์ | โอนคืนให้ลูกค้าเมื่อสิ้นสุดสัญญา |
* สัญญาเช่าแบบลิสซิ่ง กำหนดราคาซื้อซาก (Residual Value) โดยจำนวนเงินที่ลูกค้าต้องชำระ เมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่าเท่ากับ ราคาซื้อซาก หักเงินวางประกัน
หมายเหตุ ** อัตราดอกเบี้ยและผลการอนุมัติขึ้นอยู่กับการพิจารณาหลักเกณฑ์ตามที่บริษัทฯได้กำหนด

สัญญาเช่าซื้อ (Hire Purchase)
สัญญาเช่าซื้อคือสัญญาที่เจ้าของทรัพย์สินเอาทรัพย์สินให้เช่า โดยมีข้อตกลงว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของผู้เช่า เมื่อผู้เช่าได้จ่ายเงินให้เจ้าของทรัพย์สินตามจำนวนงวดที่ตกลงกันไว้ โดยผู้เช่าซื้อไม่ต้องแสดงเจตนาว่าจะซื้อและไม่ต้องชำระราคาทรัพย์สินอีก ดังนั้นสัญญาเช่าซื้อจึงมีลักษณะเป็นสัญญาผสมระหว่างสัญญาเช่ากับสัญญาซื้อ โดยมีหลักเกณฑ์ ดังนี้
1.ผู้ให้เช่าต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ให้เช่า
2.ผู้ให้เช่านำทรัพย์สินของตนให้ผู้เช่าไปใช้ประโยชน์
3.ผู้ให้เช่าให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้เช่าหรือให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เช่า
4.ผู้เช่าจะต้องชำระเงินค่าเช่าซื้อเป็นคราวๆ (งวด) จนครบถ้วนตามที่ตกลงกันให้แก่ผู้ให้เช่า
สัญญาเช่าซื้อต้องทำเป็นหนังสือ คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายคือผู้ให้เช่าซื้อและผู้เช่าซื้อ ต้องลงลายมือชื่อในสัญญา หากมิได้ทำเป็นหนังสือหรือคู่สัญญาลงชื่อเพียงฝ่ายเดียว สัญญาจะตกเป็นโมฆะ ใช้บังคับไม่ได้ ไม่มีผลผูกพันคู่สัญญา
ภาระภาษี
1.ภาษีเงินได้ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการให้เช่าซื้อ มีหน้าที่คำนวณกำไรสุทธิจากรายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีหักด้วยรายจ่ายตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี และใช้เกณฑ์สิทธิ โดยให้นำรายได้ที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีใด แม้ว่าจะยังไม่ได้รับชำระในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น มารวมคำนวณเป็นรายได้ของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น และนำรายจ่ายทั้งสิ้นที่เกี่ยวกับรายได้นั้น แม้จะยังมิได้จ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นมารวมคำนวณเป็นรายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป 1/2528 เรื่อง การใช้เกณฑ์สิทธิในการคำนวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคล ข้อ 3.5 กำหนดการคำนวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งประกอบกิจการให้เช่าซื้อหรือขายผ่อนชำระที่กรรมสิทธิ์ยังไม่ได้โอนไปยังผู้ซื้อและมีอายุสัญญาเกินหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชี ให้ใช้เกณฑ์สิทธิ โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องนำกำไรที่เกิดจากการขายมารวมคำนวณเป็นรายได้ทั้งจำนวนในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีการให้เช่าซื้อหรือขายผ่อนชำระ สำหรับดอกผลเช่าซื้อหรือขายผ่อนชำระให้นำมารวมคำนวณเป็นรายได้แต่ละงวดตามวิธีการทางบัญชีที่รับรองทั่วไป
การคำนวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งประกอบกิจการขายผ่อนชำระที่กรรมสิทธิ์ได้โอนไปยังผู้ซื้อทันที ให้นำรายได้จากการขายมารวมคำนวณเป็นรายได้ทั้งจำนวนในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีการขายสินค้า การคำนวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อหรือผู้ซื้อจากการขายผ่อนชำระ ให้ใช้เกณฑ์สิทธิ โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องนำทรัพย์สินที่ได้มาโดยการเช่าซื้อหรือขายผ่อนชำระมาคำนวณหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา มูลค่าต้นทุนของทรัพย์สินนั้นให้ถือตามราคาที่พึงต้องชำระทั้งหมด แต่ค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาที่จะนำมาหักในรอบระยะเวลาบัญชีจะต้อง ไม่เกินค่าเช่าซื้อหรือราคาที่จะต้องผ่อนชำระในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
คำว่า “กำไรที่เกิดจากการขาย” ตามวรรคหนึ่งหมายความว่า ผลต่างระหว่างราคาขายเงินสดกับต้นทุนของทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อหรือขายผ่อนชำระ
คำว่า “ดอกผลเช่าซื้อหรือขายผ่อนชำระ” ตามวรรคหนึ่งหมายความว่า ผลต่างระหว่างจำนวนเงินทั้งสิ้นที่ต้องจ่ายตามสัญญากับราคาขายเงินสด
2.ภาษีมูลค่าเพิ่ม
มาตรา 77/1(8)(ก) กำหนดให้สัญญาเช่าซื้อสินค้า เป็นการขาย และมีจุดความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 78(2) กล่าวคือให้ความรับผิดเกิดขึ้นเมื่อถึงกำหนดชำระราคาตามงวดที่ถึงกำหนดชำระราคาแต่ละงวดไม่ว่าจะได้รับชำระเงินหรือไม่ เว้นแต่กรณีที่ได้มีการรับชำระราคาสินค้าหรือออกใบกำกับภาษีเกิดขึ้นก่อนถึงกำหนดชำระราคาแต่ละงวด ก็ให้ถือว่าความรับผิดเกิดขึ้นเมื่อได้มีการกระทำนั้น ในกรณีผู้เช่าซื้อไม่ชำระค่างวด
3.อากรแสตมป์
การทำสัญญาเช่าซื้ออยู่ในบังคับต้องปิดอากรแสตมป์ ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ ลักษณะแห่งตราสารที่ 3 โดยจะต้องปิดอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาทของทุกจำนวนเงิน 1,000 บาทหรือเศษของเงิน 1,000 บาท แห่งราคาทั้งหมด (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
4.การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา
แม้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่เช่าซื้อจะยังคงเป็นของผู้ให้เช่าซื้ออยู่ แต่ผู้ให้เช่าซื้อก็ไม่มีสิทธิหักค่าเสื่อมราคาของทรัพย์นั้น เนื่องจากได้ถือทรัพย์นั้นเป็นสินค้าและได้นำราคาซื้อของทรัพย์นั้นไปหักเป็นรายจ่ายในรูปของต้นทุนสิค้าเพื่อหากำไรขั้นต้นที่กิจการต้องรับรู้รายได้ในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี ในส่วนของผู้ให้เช่าซื้อแม้จะยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในก็สามารถหักค่าเสื่อมราคาได้ ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 145
สัญญาลิสซิ่ง (Leasing)
ลิสซิ่ง เป็นรูปแบบที่นำมาจากต่างประเทศ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในเรื่องเอกเทศสัญญา ไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับลิสซิ่งไว้เป็นการเฉพาะ สัญญาลิสซิ่งคือสัญญาที่เจ้าของทรัพย์สิน (Leasor) ตกลงให้บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้เช่าทรัพย์สินแบบลิสซิ่ง (Leasee) ใช้ประโยชน์จากทรัพย์นั้นได้ โดยมีเงื่อนไขและข้อจำกัดตามที่ระบุในสัญญา และต้องชำระราคาตามที่กำหนดไว้ โดยเจ้าของทรัพย์สินตกลงจะขายทรัพย์สินที่ให้ลิสซิ่งนั้นให้แก่ผู้เช่าทรัพย์สินแบบลิสซิ่งเมื่อครบกำหนดตามสัญญา การให้เช่าแบบลิสซิ่งนั้น ราคาค่าเช่าแต่ละงวดจะมิได้รวมราคาทรัพย์สินด้วย แต่จะมีการระบุไว้ต่างหากในสัญญานั้น และกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ให้เช่านั้นจะไม่ได้โอนไปยังผู้เช่าโดยทันทีดังเช่นสัญญาเช่าซื้อ หากผู้เช่าประสงค์จะซื้อหรือรับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น ต้องแสดงเจตนาสนองรับคำมั่นของผู้ให้เช่าและชำระราคาซื้อทรัพย์สินตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาก่อน กรรมสิทธิ์จึงจะโอนมาเป็นของผู้เช่า สัญญาลิสซิ่งส่วนมากจะมีข้อกำหนดว่า หากบอกเลิกสัญญาก่อนจะเสียค่าปรับ ยิ่งบอกเลิกเร็วค่าปรับก็จะสูง และเมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่า ผู้เช่าแบบลิสซิ่งจะซื้อทรัพย์สินหรือไม่ก็ได้
ภาระภาษี
1.ภาษีเงินได้
สัญญาเช่าแบบลิสซิ่ง เป็นเพียงสัญญาเช่าที่รวมกับคำมั่นของผู้ให้เช่าว่าจะขายทรัพย์สินที่ให้เช่านั้น เมื่อสิ้นสุดสัญญา ซึ่งไม่เข้าลักษณะเป็นสัญญาเช่าซื้อ เงินได้จากสัญญาลิสซิ่งจึงเป็นเงินได้จากการเช่าทรัพย์เท่านั้น บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการให้เช่าทรัพย์ จึงมีหน้าที่คำนวณกำไรสุทธิจากรายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีหักด้วยรายจ่ายตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี และใช้เกณฑ์สิทธิ โดยให้นำรายได้ที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีใด แม้ว่าจะยังไม่ได้รับชำระในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น มารวมคำนวณเป็นรายได้ของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น และนำรายจ่ายทั้งสิ้นที่เกี่ยวกับรายได้นั้น แม้จะยังมิได้จ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นมารวมคำนวณเป็นรายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
กรณีภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ของการเช่าแบบลิสซิ่ง กรมสรรพากรมีคำสั่งที่ ท.ป.4/2528 กำหนดให้ผู้จ่ายเงินค่ามีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 5 ของเงินได้ที่จ่าย ยกเว้นผู้ให้เช่าจะเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วถึง 60 ล้านบาท และสัญญาลิสซิ่งมีระยะเวลาถึง 3 ปีขึ้นไป ไม่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
2.ภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากลิสซิ่งเป็นเพียงสัญญาเช่าทรัพย์ ที่มีคำมั่นว่าผู้ให้เช่าตกลงจะขายทรัพย์สินให้แก่ผู้เช่าเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของสัญญาไม่มีลักษณะเป็นสัญญาเช่าซื้อ สัญญาลิสซิ่งจึงเป็นการให้บริการตามมาตรา 77/1(10) แห่งประมวลรัษฎากร โดยความรับผิดในการเสียภาษีจะเกิดขึ้นเมื่อได้รับชำระราคาค่าบริการ ออกใบกำกับภาษี หรือได้ใช้บริการไม่ว่าโดยตนเองหรือบุคคลอื่นตามาตรา 78/1(1) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีที่ผู้เช่าลิสซิ่งไม่ชำระราคาค่าบริการผุ้ให้เช่าก็ไม่จำเป็นต้องออกใบกำกับภาษีขายแต่ประการใด
3.อากรแสตมป์ สัญญาลิสซิ่ง เป็นสัญญาเช่าทรัพย์ที่ทีคำมั่นว่าผู้ให้เช่าตกลงจะขายทรัพย์สินเมื่อสิ้นสุดระยะของสัญญา ไม่เป็นสัญญาเช่าซื้อ จึงไม่ต้องติดอากรแสตมป์ ในกรณีนี้มีคำพิพากษาฎีกาที่ 8810/2543 ว่า สัญญาลิสซิ่งไม่อยู่ในบังคับต้องติดอากรแสตมป์แต่อย่างใด
4.การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา
เนื่องจากสัญญาเช่าแบบลิสซิ่ง เป็นลักษณะของสัญญาเช่าทรัพย์ ผู้ให้เช่าซื้อยังคงมีสิทธิหักค่าเสื่อมราคาของทรัพย์นั้น เนื่องจากกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ยังไม่ได้โอนไปยังผู้เช่า ผู้เช่าจึงไม่มีสิทธิ์หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา แต่สามารถนำค่าเช่ามาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ตามปกติ โดยเงินค่าเช่าที่จ่ายรายเดือนต้องบันทึกบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายค่าเช่าได้เต็มจำนวนที่จ่ายจริง แต่มีข้อพึงระวัง เฉพาะกรณีเป็นการเช่ารถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารส่วนบุคคลที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน นำมาเป็นค่าใช้จ่ายได้ไม่เกินเดือนละ 36,000 บาท หรือไม่เกิน คันละ 1,200 บาทต่อวัน
สรุปความแตกต่างระหว่างสัญญาเช่าซื้อและสัญญาลิสซิ่ง
สัญญาลิสซิ่งสามารถแบ่งได้เป็นสองประเภทคือสัญญาเช่าการเงิน (Financial Lease) และสัญญาเช่าดำเนินงาน (Operating Lease)
สัญญาเช่าการเงิน (Financial Lease) เป็นข้อตกลงเช่า ที่การเช่ามีระยะเวลาที่แน่นอน ตั้งแต่ระยะปานกลางถึงระยะยาว โดยผู้ให้เช่ามิได้เป็นผู้ให้การบำรุงรักษา ซ่อมแซม ทำประกันภัย หรือการบริการใดๆ ต่อทรัพย์สินที่ให้เช่าแก่ผู้เช่า ผู้ให้เช่าจะคำนวณค่าเช่า จากราคาทรัพย์สิน ดอกเบี้ย และคุณประโยชน์ของทรัพย์สินนั้นๆ โดยทั้งผู้ให้เช่าและผู้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาได้ทั้ง 2 ฝ่าย
สัญญาเช่าดำเนินงาน (Operating Lease) เป็นลิซซิ่งที่นิยมกันเป็นส่วนมาก Operating Lease เป็นการเช่าทรัพย์ในเวลาสั้น ส่วนใหญ่ประมาณ 24-60 เดือน ซึ่งทั้งผู้ให้เช่าหรือผู้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดเวลาได้ ทั้งนี้ตามหลักการ ผู้ให้เช่าจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดต่อ ทรัพย์สินนั้น ๆ Operating Lease จึงมีลักษณะใกล้เคียงกับสัญญาการเช่า (Rent) ทั่วไป
การบันทึกบัญชี ตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 17 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สัญญาเช่า
สัญญาเช่าการเงิน หมายถึง สัญญาเช่าที่ทำให้เกิดการโอนความเสี่ยงและผลตอบแทนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดที่ผู้เป็นเจ้าของพึงได้รับจากสินทรัพย์ให้แก่ผู้เช่าไม่ว่าในที่สุดการโอนกรรมสิทธิ์จะเกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งการบันทึกบัญชีสำหรับสัญญาเช่าซื้อจะเหมือนกับสัญญาเช่าดำเนินงาน
สัญญาเช่าดำเนินงาน หมายถึง สัญญาเช่าที่มิใช่สัญญาเช่าการเงิน
ในการจัดประเภทสัญญาเช่าเป็นสัญญาเช่าการเงินหรือสัญญาเช่าดำเนินงาน กิจการต้องพิจารณาถึงเนื้อหาของรายการมากกว่ารูปแบบตามสัญญา
กิจการต้องจัดประเภทสัญญาเช่าเป็นสัญญาเช่าการเงิน หากสัญญานั้นโอนความเสี่ยงและผลตอบแทนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดที่ผู้เป็นเจ้าของพึงได้รับจากสินทรัพย์ไปให้แก่ผู้เช่าและต้องจัดประเภทสัญญาเช่าเป็นสัญญาเช่าดำเนินงานหากสัญญานั้นไม่ได้โอนความเสี่ยง หรือผลตอบแทนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดที่ผู้เป็นเจ้าของพึงได้รับจากสินทรัพย์ไปให้แก่ผู้เช่า
กิจการต้องจัดประเภทสัญญาเช่าเป็นสัญญาเช่าการเงินหากสัญญานั้นทำให้เกิดสถานการณ์ต่อไปนี้อย่างน้อยหนึ่งสถานการณ์
- สัญญาเช่าโอนความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์ให้แก่ผู้เช่าเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของสัญญาเช่า
- ผู้เช่ามีสิทธิเลือกซื้อสินทรัพย์ด้วยราคาที่ต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม ณ วันที่สิทธิเลือกเกิดขึ้น โดยราคาตามสิทธิเลือกนั้นมีจำนวนต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์มากเพียงพอที่จะทำให้เกิดความแน่ใจอย่างสมเหตุสมผล ณ วันเริ่มต้นของสัญญาเช่าว่าผู้เช่าจะใช้สิทธิเลือกซื้อสินทรัพย์นั้น
- ระยะเวลาของสัญญาเช่าครอบคลุมอายุการให้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของสินทรัพย์แม้ว่าจะไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์เกิดขึ้น
- ณ วันเริ่มต้นของสัญญาเช่า มูลค่าปัจจุบันของจำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องจ่ายมีจำนวนเท่ากับหรือเกือบเท่ากับมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ที่เช่า
- สินทรัพย์ที่เช่ามีลักษณะเฉพาะจนกระทั่งมีผู้เช่าเพียงผู้เดียวที่สามารถใช้สินทรัพย์นั้นโดยไม่จำเป็นต้องนำสินทรัพย์ดังกล่าวมาทำการดัดแปลงที่สำคัญ
ข้อบ่งชี้ถึงสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งหรือหลายสถานการณ์รวมกันที่ทำให้สามารถจัดสัญญาเช่าเป็นสัญญาเช่าการเงินได้ มีดังต่อไปนี้
- หากผู้เช่าสามารถยกเลิกสัญญาเช่าได้ และผู้เช่าเป็นผู้รับผิดชอบผลเสียหายที่เกิดกับผู้ให้เช่าเนื่องจากการยกเลิกนั้น
- ผู้เช่าเป็นผู้ที่ได้รับผลกำไรหรือผลขาดทุนจากการผันผวนของมูลค่ายุติธรรมของมูลค่าคงเหลือ(ตัวอย่างเช่น มูลค่ายุติธรรมของมูลค่าคงเหลือที่อยู่ในรูปของค่าเช่าที่ผู้ให้เช่าลดให้ซึ่งรวมแล้วมีจำนวนเท่ากับส่วนใหญ่ของจำนวนที่ได้รับจากการขายมูลค่าคงเหลือ ณ วันสิ้นสุดสัญญาเช่า)
- ผู้เช่าสามารถต่อสัญญาเช่าครั้งที่สองด้วยการจ่ายค่าเช่าที่มีจำนวนต่ำกว่าค่าเช่าในตลาดอย่างเป็นนัยสำคัญ
กฏหมายเพิ่มเติม : ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีเช่าทรัพย์สินแบบลิสซิ่ง
http://www.rd.go.th/publish/38098.0.html
การขอสินเชื่อสินเชื่อรถบรรทุกใหม่ กรุงศรีทรัค ลิสซิ่ง Leasingกดที่นี่